Easter Day
Easter Day
10 เหตุผลที่เชื่อว่า พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย
1.พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ต่อหน้า...ฝูงชน
ใน ระหว่างเทศกาลปัสกาของชาวยิว ฝูงชนที่ถูกปลุกปั่นให้ลุกฮือขึ้น ได้จับกุมพระเยซูไปมอบให้ปิลาตเจ้าเมืองชาวโรม โดยกล่าวหาว่า พระเยซูได้อ้างตนเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ประชาชนได้ขอให้ตรึงพระองค์เสียที่กางเขน พระเยซูทรงถูกโบยตีอย่างทารุณ และนำไปประหารต่อหน้าฝูงชนบนภูเขานอกกรุงเยรูซาเล็ม พร้อมนักโทษ 2 คน ท่ามกลางมิตรที่รักและศัตรูที่เยาะเย้ย พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์อย่างน่าอนาถ เนื่องจากวันสะบาโตได้ ใกล้เข้ามา ทหารโรมันจึงต้องเร่งการประหารนักโทษให้เร็วขึ้นโดยการทุบขาให้หัก แต่เมื่อมาถึงพระเยซูก็พบว่าพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่เพื่อความมั่นใจทหารจึงใช้หอกแทงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์ เพราะกลัวว่าพระองค์จะเพียงแค่หมดสติไป
หมายเหตุ - พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ในบ่ายวันศุกร์ - วันสะบาโต(วันหยุดพักผ่อน)ของชาวยิวเริ่มตั้งแต่เย็นวันศุกร์เรื่อยไปจนถึงเย็นวันเสาร์
2.อุโมงค์ฝังศพถูกประทับตรา...ห้ามเข้า
วัน รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสะบาโต ผู้นำยิวได้มาหาปีลาตกล่าวว่า พระเยซูเคยบอกพวกสาวกว่า “พระองค์จะสิ้นพระชนม์และจะทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม” ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการขโมยพระศพเพื่อนำไปสร้างหลักฐานเท็จ จึงขอให้ปีลาตสั่งเจ้าหน้าที่ประทับตรา “ห้ามเข้าเด็ดขาด”หน้าอุโมงค์ฝังศพ พร้อมส่งทหารยามหมู่หนึ่งไปเฝ้าหน้าอุโมงค์อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถเข้าไปได้ หากมีผู้ใดฝ่าฝืนหรือมีการหลับยามต้องมีโทษถึงตาย
3.อุโมงค์...ว่างเปล่า
ใน เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากวันสะบาโต(วันอาทิตย์)ได้มีสาวกบางคนรุดไปที่อุโมงค์ เพื่อจะชโลมพระศพ เมื่อไปถึงพวกเขาต้องแปลกใจเมื่อพบว่าหินก้อนใหญ่ซึ่งใช้ปิดทางเข้าอุโมงค์ ได้ถูกเปิดออก อุโมงค์กลับว่างเปล่า พระศพของพระเยซูได้หายไป พบเพียงแต่ผ้าพันพระศพวางพับอยู่เท่านั้น ส่วนทหารยามได้วิ่งเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อแจ้งให้ผู้นำยิวทราบว่า “มีทูตสวรรค์มาปรากฎและได้กลิ้งก้อนหินใหญ่ที่ปิดอุโมงค์ออกและพวกเขาได้สลบ ไป เมื่อตื่นขึ้นก็พบว่าอุโมงค์ได้ว่างเปล่าและพระศพของพระเยซูได้หายไปเสีย แล้ว” ผู้นำยิวจึงได้จ่ายเงินค่าปิดปากเป็นจำนวนมากเพื่อให้โกหกว่า พวกสาวกได้มาขโมยพระศพไปในขณะที่พวกทหารหลับอยู่ ผู้นำยิวยังได้ยืนยันว่าถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้รู้ถึงหูปีลาตเจ้าเมือง พวกเขาจะช่วยพูดปกป้องให้
หมายเหตุ - พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สามคือวันอาทิตย์
4.พยานบุคคลจำนวนมาก...ยืนยัน
ประมาณ คศ. 55 อัครทูตเปาโลได้บันทึกว่าพระเยซูได้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ โดยได้ปรากฎตัวให้อัครทูต และสาวกกว่า 500 คนเห็นตลอดระหว่าง 40 วัน ต่างวาระและต่างสถานที่กัน ขณะที่ท่านได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้ หลายคนที่ท่านได้กล่าวอ้างถึงนั้นยังมีชีวิตอยู่ (1 โครินธ์ 15:5-8) และที่สำคัญโดยการกล่าวอ้างอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้นำยิวที่คอยจ้องจับผิดสามารถตรวจสอบและโต้แย้งข้อ เท็จจริงที่เกิดขึ้นได้ หากการฟื้นคืนพระชนม์เป็นเรื่องโกหก สาวกของพระเยซูก็คงไม่สามารถแก้ตัวใดๆได้
5.ชีวิตของสาวก...เปลี่ยนไป
ใน คืนที่พระเยซูทรงถูกจับ เหล่าสาวกต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เปโตรซึ่งก่อนหน้านี้ได้กล่าวอย่างแข็งขันว่าพร้อมจะตายกับพระเยซู ก็ยังกลัวจนตัวสั่นและปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักพระองค์ถึงสามครั้ง แต่ภายหลังจากประสบการณ์ที่ได้เห็นด้วยตาและสัมผัสด้วยมือของตนเองว่า พระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตาย ชีวิตของเหล่าสาวกก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากคนที่เคยขลาดกลัวกลับกลายเป็นคนที่กล้าหาญ ไม่หวั่นต่อคำขู่หรือความตาย จิตใจแกร่งเหมือนเหล็กและกลายเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดได้ในความมุมานะที่จะสละ ทุกสิ่งเพื่อผู้ที่พวกเขาเรียกว่าองค์พระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระผู้เป็นเจ้า แม้หลังจากนั้นพวกเขาจะถูกจำคุก โดยเฆี่ยนตี และห้ามไม่ให้กล่าวอ้างถึงพระนามของพระเยซูอีก แต่พวกเขาตอบกลับผู้นำยิวอย่างไม่กลัวเกรงว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29)
6.เพื่อสิ่งที่ตนเชื่อ สาวกยอม..ตาย
ประวัติ ศาสตร์เต็มไปด้วยชายหญิงนับไม่ถ้วนที่ได้ยอมตายเพื่อความเชื่อของตน ซึ่งรวมถึงเหล่าสาวกที่ได้เห็นพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายด้วย คงไม่มีใครยอมตายเพื่อคำหลอกลวงหรือเรื่องเท็จที่ตนเองได้ปั้นแต่งขึ้น พวกเขายินดีที่จะถูกฆ่าตายเพื่อยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ไม่เพียงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของพวกเขา แต่ว่าพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากความตายเพื่อแสดงว่าผู้เชื่อทุกคนจะมี ชีวิตนิรันดร์ด้วยกันกับพระองค์
หมายเหตุ - ชีวิตนิรันดร์คือการที่ได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์ในสวรรค์
7.คริสเตียนชาวยิวเปลี่ยน..วันนมัสการ
วัน สะบาโตถือเป็นวันสำคัญมากในวิถีชีวิตของชาวยิว เพราะเป็นวันที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มีการพักผ่อนหยุดพักจากการงานและนมัสการ ยิวคนใดที่ไม่ปฏิบัติตามวันสะบาโตจะมีความผิดต่อบัญญัติของโมเสสส แต่ชาวยิวผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ได้เริ่มนมัสการพระเจ้าในวันอื่นแทน คือวันอาทิตย์ วันซึ่งพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นจากความตายแทนวันสะบาโต(วัน เสาร์) สำหรับชาวยิวแล้ว นั่นเป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เป็นการประกาศว่า พวกเขาเชื่อว่าความตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ได้เปิดทางสู่ความ สัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า วิถีทางใหม่นี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนธรรมบัญญัติ แต่ตั้งอยู่บนการยกโทษบาปและการประทานชีวิตของพระเยซูคริสต์
8.เหตุการณ์เหล่านี้...ทำนายล่วงหน้าไว้แล้ว
นาน นับพันปีที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับชนชาติยิวว่าจะส่งพระเมสสิยาห์(พระผู้ช่วย ให้รอด) มาช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ยาก การถูกกดขึ่ข่มเหง พวกเขาเข้าใจว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาทรงตั้งอาณาจักรอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ และทรงอำนาจ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าพระเมสสิยาห์ที่พระคัมภีร์เดิมกล่าวถึงมากมายหลาย ครั้งจะมาเพื่อปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากการเป็นทาสของความบาปซึ่งเป็นเรื่อง ของความรอดฝ่ายจิตวิญญาณ (อิสยาห์ 53:10) นอกจากนี้พระเยซูยังได้ทรงตรัสหลายครั้งกับสาวกเป็นการล่วงหน้าว่า จำเป็นที่พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มและจะถูกจับตรึงกางเขนสิ้นพระ ชนม์ และในวันที่สามพระองค์จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย
9.แพ้แต่..ชนะ
ดู เหมือนเป็นการพ่ายแพ้ และเป็นการปิดฉากชีวิตของชายที่ชื่อว่า เยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้ได้เริ่มต้นการอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อตลอดสามปี โดยเปลี่ยนน้ำธรรมดาให้เป็นเหล้าองุ่น ผู้รักษาคนเจ็บป่วย เปิดตาคนตาบอด รักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้ รักษาคนง่อย ขับผี ห้ามลมพายุให้สงบ ผู้เดินบนน้ำทะเล และเรียกคนตายให้ฟื้น พระองค์ทรงตั้งคำถามที่คนฉลาดที่สุดก็ยังตอบไม่ได้ พระองค์ทรงสอนความจริงที่ลึกซึ้งด้วยการเปรียบเทียบที่ง่ายๆ พระองค์เผชิญหน้าคนหน้าซื่อใจคดด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาและเปิดเผยใจที่คดงอ ของเขา ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริง เราคงจะแปลกใจว่าพระองค์ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ เพราะทรงถูกจับและตรึงไว้บนกางเขน และถูกฝูงชนเยาะเย้ยส่อเสียดว่า “ช่วยคนอื่นได้แต่จะช่วยตนเองได้หรือ?” การอัศจรรย์ได้สิ้นสุดลงแล้วหรือ? นี่ดูเหมือนเป็นการพ่ายแพ้ แต่ในความเป็นจริง การพ่ายแพ้นี้กลับเป็นชัยชนะที่ศัตรูของพระองค์ คือมารซาตานคาดไม่ถึง เพราะด้วยการสิ้นพระชนม์บนกางเขน มนุษย์สิ้นทั้งโลกที่ต้องตายเพราะความบาปผิดของตน จึงได้รับการไถ่โทษ และการฟื้นขึ้นจากความตายก็ยืนยันว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์จึงไม่ต้องพินาศเพราะบาปอีกต่อไป แต่จะมีชีวิตใหม่เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย
10.ประสบการณ์ของ...ผู้เชื่อ
หาก ความเชื่อของคริสเตียนเป็นเพียงการเรียนรู้จากการรับฟังเรื่องราวของผู้อื่น หรือจากตำราหนังสือเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวคงยากที่จะกลายเป็นความเชื่อที่มั่นคงและหยั่งรากลึกใน ชีวิตคริสเตียนได้ ผู้เชื่อรุ่นแล้วรุ่นเล่า ได้เกิดมาและได้ตายจากไป แต่ความเชื่อของคริสเตียนแต่ละรุ่นยังมั่นคงสืบทอดกันมานับร้อยนับพันปี เพราะองค์พระเยซูคริสต์ผู้ที่เราเชื่อนั้นยังทรงพระชนม์อยู่ วานนี้ วันนี้ และสืบไปเป็นนิจ ดังนั้นผู้เชื่อทุกยุคทุกสมัยจึงสามารถมีประสบการณ์ตรงกับพระเยซูได้ในชีวิต ส่วนตัวของเขา และทุกคนต่างยืนยันว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนเมื่อสองพันปีที่แล้ว ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และยังทรงพระชนม์อยู่ทุกวันนี้
ไม่ใช่คุณคนเดียว
หาก คุณพิจารณาเห็นว่า การฟื้นคืนพระชนม์เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ขอให้ใคร่ครวญพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อใช้หนี้บาปของเรา และผู้ที่เชื่อในใจและได้รับด้วยปากของเขาว่าพระเจ้าได้ทรงทำให้พระองค์ฟื้น ขึ้นจากความตายผู้นั้นก็จะรอด” (โรม 10:9-10)
ความ รอดจากบาปซึ่งพระเยซูคริสต์มอบให้นั้นไม่ใช่เป็นรางวัลของความพยายามทำความ ดี แต่เป็นของขวัญที่ให้แก่ผู้ที่ได้วางใจในพระองค์เนื่องจากหลักฐานเหล่านี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก พันธกิจมานาประจำวัน (แผ่นพับเพื่อการประกาศพระกิตติคุณ)