Full Gospel Assemblies of Thailand

องค์การพระกิตติคุณสมบูรณ์สัมพันธ์ในประเทศไทย

English French German Russian

บทความคริสเตียน

หากเราเป็นแค่หนึ่งเมล็ดที่หว่านลง

ทุกคนย่อมมีโอกาสเหนื่อยล้ากับการรับใช้ หรือเคยสงสัยว่าพระเจ้าจะมองเห็นความสัตย์ซื่อของตัวเราไหม หรืออาจกำลังรู้สึกว่าจะต้องรอคอยพระเจ้าไปถึงเมื่อไร เช่นเดียวกันกับชีวิตจริงของครอบครัวมิชชันนารีชาวสวีเดนคู่หนึ่ง มีเรื่องราวอะไรบ้างที่เกิดขึ้นกับพวกเขา? 

————————————

ในปี 1921 มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชื่อ เดวิด และ สเวีย ฟลัด เป็นมิชชันนารี เขาทั้งคู่พร้อมด้วยลูกชายวัย 2 ขวบได้เดินทางจากสวีเดนไปยังใจกลางทวีปแอฟริกา ซึ่งต่อมาก็คือประเทศเบลเจียน คองโก ที่นั่นพวกเขาได้พบกับมิชชันนารีชาวสแกนดิเนเวียนอีกคู่ นั่นคือ ครอบครัวอีริคสัน ทั้งสี่คนได้แสวงหาพระเจ้าขอทิศทางการทรงนำ มันเป็นช่วงเวลาแสนอบอุ่นเต็มด้วยหัวใจที่แสวงหาและการมอบถวาย พวกเขาสัมผัสได้ว่าพระเจ้าต้องการนำพวกเขาออกจากการอยู่ในตัวศูนย์พันธกิจหลัก เพื่อออกไปบุกเบิกในพื้นที่ห่างไกลชุมชน

นี่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่แห่งความเชื่อ ณ หมู่บ้าน เอ็น’โดเลรา พวกเขาถูกปฏิเสธจากหัวหน้าหมู่บ้านไม่ยอมให้เข้าไปในชุมชน เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะทำให้ความศรัทธาที่มีต่อพระในท้องถิ่นแตกแยก ทั้ง 4 คนจึงเลือกที่จะเดินทางไปอีกไกล ขึ้นไปยังเนินเขา และสร้างกระท่อมโคลนของพวกเขา

พวกเขาอธิษฐานขอให้งานรับใช้เกิดผล แต่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงชาวบ้านคนเดียวที่พวกเขาติดต่อได้ คือ เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นำไก่และไข่มาขายให้ 2 ครั้งต่อสัปดาห์  สเวีย ฟลัด เป็นหญิงร่างเล็กสูงแค่ 140 ซม. เธอตัดสินใจว่า หากมีแค่ชาวแอฟริกันคนเดียวที่เธอสามารถพูดคุยด้วยได้ เธอก็จะพยายามนำเด็กชายคนนั้นมาหาพระเยซู ในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ

————————————

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นเลยที่สร้างกำลังใจให้พวกเขา ในขณะที่โรคมาลาเรียก็ระบาดหนัก จนทำให้ครอบครัวอีริคสันรู้สึกว่าพวกเขาเผชิญความยากลำบากมากเกินพอแล้ว จึงตัดสินใจกลับไปยังตัวศูนย์พันธกิจหลัก ปล่อยให้เดวิดและสเวีย ฟลัด อาศัยอยู่บริเวณ เอ็น’โดเลรา เพียงลำพัง

ในเวลาต่อมา สเวีย ฟลัด พบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์อยู่ท่ามกลางดินแดนที่ทุรกันดารและยากลำบาก และเมื่อถึงกำหนดคลอด หัวหน้าหมู่บ้านจึงเห็นใจ ยอมให้หมอตำแยเข้าไปช่วยทำคลอดให้เธอ ที่สุดพวกเขาได้เด็กผู้หญิงตัวน้อยและตั้งชื่อว่า ไอน่า

การคลอดผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อย ทำให้ร่างกายของสเวีย ฟลัดอ่อนแอจนไม่อาจต้านทานไข้มาลาเรียได้  กระบวนการคลอดนั้นหนักเกินไปกว่าที่ร่างกายเธอจะรับไหว สเวีย ฟลัด จึงมีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 7 วันหลังคลอด

ความคิดบางอย่างเกิดขึ้นในหัวของเดวิด ฟลัด เขาเป็นคนขุดหลุมฝังศพภรรยาวัย 27 ปี จากนั้นจึงนำลูกทั้งสองกลับไปที่ศูนย์ทำพันธกิจหลัก เขาพูดเกรี้ยวกราดออกมาว่า “ผมจะกลับสวีเดน ผมสูญเสียภรรยา และผมไม่สามารถเลี้ยงดูลูกน้อยคนนี้ได้แน่ พระเจ้าได้ทำลายชีวิตผมหมดสิ้น”

เดวิดยอมยกลูกสาวที่เพิ่งเกิดให้แก่ครอบครัวอีริคสัน จากนั้นเขาได้กลับไปยังท่าเรือ เขาไม่เพียงแต่ละทิ้งการทรงเรียก แต่ยังได้ละทิ้งพระเจ้าด้วย

————————————

ในเวลา 8 เดือนต่อมา สามีภรรยาอีริคสัน ได้ล้มป่วยลงกะทันหันด้วยโรคประหลาด จนเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ทิ้งทารกน้อยไว้กับมิชชันนารีชาวอเมริกัน ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเดิมของเด็กน้อยเป็น “แอกกี้” ท้ายที่สุด พวกเขาก็พาเธอกลับไปอเมริกาเมื่อเธออายุ 3 ขวบ

และเพราะครอบครัวนี้รักเด็กหญิงตัวน้อย จึงกลัวว่าหากเดินทางกลับไปยังแอฟริกา อาจพบกับอุปสรรคในแง่กฎหมายที่อาจพรากเธอไปจากพวกเขาได้  ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจอยู่ที่ประเทศบ้านเกิด เปลี่ยนงานรับใช้จากมิชชันนารีเป็นงานอภิบาล แอกกี้จึงได้เติบโตขึ้นในรัฐเซาธ์ ดาโกต้า เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น แอกกี้ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยพระคัมภีร์นอร์ธ เซ็นทรัล ในมินเนโพลิส  ที่นั่นเธอได้พบกับชายหนุ่มชื่อ ดิววี่ เฮิร์ทส และได้แต่งงานกัน

หลายปีผ่านไป ครอบครัวเฮิร์ทส ต่างก็มีความสุขในงานรับใช้ที่เกิดผล แอกกี้ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก และตามด้วยลูกชาย ในช่วงเวลาที่สามีเธอได้รับตำแหน่งอธิการบดีประจำวิทยาลัยคริสเตียนในซีแอทเทิล  แอกกี้เกิดความสนใจจะค้นคว้าเรื่องราวตำนานของชาวสแกนดิเนเวียนขึ้นมา

————————————

อยู่มาวันหนึ่ง แอกกี้พบนิตยสารแนวศาสนาอยู่ในตู้จดหมายของเธอ  เธอไม่รู้ว่าใครส่งมา และแน่นอนว่าเธออ่านไม่ออกเพราะเป็นภาษาสวิดิช แต่เมื่อเปิดขึ้นดู ภาพที่พบในนิตยสารทำให้ตัวเธอเย็นเฉียบขึ้นมาทันที เพราะมันคือภาพหลุมศพที่มีกางเขนสีขาวและบนกางเขนนั้นมีคำจารึกว่า สเวีย ฟลัด

แอกกี้รีบขับรถไปยังวิทยาลัย ตรงไปหาคนที่ช่วยเธอแปลบทความนี้ได้ “บทความนี้มันเขียนว่าอย่างไรบ้าง?” เธอเรียกร้องคำตอบ

อาจารย์ในวิทยาลัยที่ช่วยอ่านได้สรุปให้ฟังว่า นี่คือเรื่องราวของมิชชันนารีที่เดินทางไปยังเอ็น’โดเลรา เมื่อหลายปีก่อน พูดถึงการกำเนิดทารกผิวขาว พูดถึงความตายของแม่ในวัยสาว พูดถึงเด็กชายชาวแอฟริกันผู้ถูกนำมาหาพระเยซู และเมื่อมิชชันนารีผิวขาวทั้งหมดได้กลับไปแล้ว เด็กชายคนนั้นได้เติบโตขึ้น และท้ายที่สุดได้ชักจูงจนหัวหน้าหมู่บ้านยอมให้เขาสร้างโรงเรียนขึ้นในหมู่บ้าน

บทความนั้นยังกล่าวอีกว่า เขาค่อยๆ นำนักเรียนทุกคนมาหาพระคริสต์ และเด็กเหล่านั้นได้พาพ่อแม่มาหาพระคริสต์ แม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็ได้กลับใจมาเป็นคริสเตียน  จนถึงวันนี้มีคริสเตียน 600 คนในหมู่บ้านนั้น

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความเสียสละของเดวิด และ สเวีย ฟลัด

————————————

ในช่วงเวลาครบรอบแต่งงาน 25 ปี ครอบครัวเฮิร์ทสได้รับของขวัญจากทางวิทยาลัยเป็นทริปพักผ่อนเดินทางไปประเทศสวีเดน ที่นั่นแอกกี้ได้ตามหาและพบพ่อที่แท้จริงของเธอ เดวิด ฟลัดในตอนนี้เป็นแค่ชายชราคนหนึ่ง เขาแต่งงานใหม่ มีลูกอีก 4 คน และใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาไปกับเหล้า เขาเพิ่งป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง และหัวใจที่เต็มด้วยความขมขื่น เขาตั้งกฎเหล็กในบ้านว่า “ห้ามทุกคนพูดถึงนามพระเจ้า เพราะพระเจ้าพรากทุกสิ่งไปจากฉัน”

หลังจากแอกกี้ได้พบพี่น้องต่างแม่ เธอร้องขอจะพบพ่อของเธอ  พี่น้องคนอื่นๆ ลังเลและกล่าวว่า  “เธอไปพูดคุยกับพ่อได้ แม้ว่าพ่อจะป่วยหนักอยู่ แต่เธอจำเป็นต้องรู้ว่า เมื่อไรที่พ่อได้ยินคำว่าพระเจ้า พ่อจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที”

แต่แอกกี้ไม่รอช้า เธอเดินเข้าไปในห้องพักที่รกรุงรัง ขวดเหล้าวางเกลื่อนอยู่ทุกซอกมุม เธอตรงเข้าไปหาชายชราวัย 73 ปี ซึ่งนอนอยู่บนเตียงเก่าๆ

 “พ่อคะ?” เธอเรียกพ่อด้วยความลังเลใจ

เขาหันมาและเริ่มร้องไห้ “ไอน่า” เขากล่าว “พ่อไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งลูกไป”

“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ” เธอตอบ และสวมกอดเขาไว้ในอ้อมแขนของเธออย่างอ่อนโยน “พระเจ้าทรงดูแลหนู” 

ชายชรานิ่งงัน น้ำตาหยุดไหล

“พระเจ้าลืมพวกเราทุกคน ที่ชีวิตพวกเราเป็นแบบนี้ก็เพราะพระองค์” เขาหันหน้าเข้าหากำแพง

แอกกี้ ลูบหน้าของชายชรา และพูดต่ออย่างไม่หวั่นกลัว

“พ่อคะ หนูมีเรื่องสั้นๆ จะเล่าให้พ่อฟัง นี่คือเรื่องจริง พ่อไม่ได้เดินทางไปแอฟริกาอย่างเปล่าประโยชน์ และแม่ไม่ได้ตายอย่างสูญเปล่า เด็กชายตัวน้อยที่พ่อพามารู้จักพระเจ้าได้เติบโตขึ้น และนำคนในหมู่บ้านทั้งหมดมาหาพระเยซูคริสต์ เมล็ดพันธุ์หนึ่งเมล็ดที่พ่อหว่านไว้ ได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนวันนี้มีคนแอฟริกัน 600 คนที่รับใช้พระเจ้า ทั้งหมดนี้เพราะความสัตย์ซื่อต่อการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของพ่อ…”

“พ่อคะ พระเยซูรักพ่อ และพระองค์ไม่เคยเกลียดพ่อเลย”

ชายชราหันกลับมา และมองที่ตาลูกสาว ร่างกายของเขาผ่อนคลาย และเขาเริ่มพูดคุยกันต่อ และเมื่อสิ้นสุดบ่ายวันนั้น เขาได้กลับมาหาพระเจ้าที่เขาโกรธเคืองมาเนิ่นนานหลายสิบปี

เพียงไม่กี่วันถัดมา หลังจากที่พ่อและลูกสาวได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างอบอุ่น แอกกี้และสามีต้องเดินทางกลับอเมริกา และภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น เดวิด ฟลัด ได้จากลาไปยังนิรันดรกาล

————————————

ไม่กี่ปีต่อมา ครอบครัวเฮิร์ทส ได้เข้าร่วมสัมมนางานประกาศระดับสูงในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งข้อมูลรายงานมาจากสาธารณรัฐซาอีร์ (ชื่อเดิมคือ เบลเจียน คองโก และปัจจุบันคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) ผู้อำนวยการของคริสตจักรแห่งชาติในคองโก พูดถึงผู้เชื่อที่รับบัพติศมา 110,000 คน และข่าวประเสริฐที่แผ่ขยายไปทั่วชนชาติของเขา แอกกี้จึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปถามเขาในภายหลังว่า เขาเคยได้ยินเรื่องของเดวิด และสเวีย ฟลัด หรือไม่

“เคยครับ คุณ” ชายคนนี้ตอบเป็นภาษาฝรั่งเศส และคำพูดเขาถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ  “สเวีย ฟลัด เป็นคนนำผมมาหาพระเยซูคริสต์ ผมเป็นเด็กคนที่นำอาหารไปให้พ่อแม่ของคุณก่อนที่คุณจะเกิด จนถึงวันนี้หลุมศพคุณแม่คุณ และความทรงจำเกี่ยวกับเธอ ยังคงได้รับการยกย่องจากพวกเราทุกคน”

เขาสวมกอดเธอไว้ในอ้อมกอดสะอื้นยาวนาน เขาพูดต่อ “คุณต้องมาที่แอฟริกา เพื่อมาเห็นว่า คุณแม่ของคุณคือบุคคลที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา”

ต่อมา แอกกี้ เฮิร์ทส และสามีของเธอจึงได้เดินทางไปยังแอฟริกา พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากชาวบ้าน และเธอได้พบกับชายคนที่พ่อเธอจ้างให้แบกตัวเธอ ซึ่งขณะนั้นยังเป็นทารกน้อยในเปลญวน ขึ้นลงภูเขาหลายปี

และแน่นอนช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์ที่สุด คือตอนที่ศิษยาภิบาลพาแอกกี้ไปยังกางเขนสีขาวที่หลุมฝังศพแม่เธอ แอกกี้ได้คุกเข่าลงบนพื้นดิน เธออธิษฐานและขอบคุณพระเจ้า และเมื่อกลับไปที่คริสตจักรในวันนั้น ศิษยาภิบาลได้อ่านพระคัมภีร์ข้อหนึ่งในยอห์น 12:24

“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”   

จากนั้นเขาอ่านต่อใน สดุดี 126:5 “ผู้ที่หว่านด้วยน้ำตา จะได้เก็บเกี่ยวด้วยเสียงโห่ร้องยินดี”


คำถามที่วนเวียนในความคิดว่า เราก็แค่หนึ่งเมล็ดที่หว่านลง คงไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จนความกระตือรือร้นเมื่อแรกเริ่ม กลับกลายเป็นถอดใจ และพร้อมจะวางมือจากงานรับใช้ที่พระเจ้าทรงเรียก

ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งทำให้เราเห็นว่า อย่าดูแคลนพลังของความสัตย์ซื่อ แต่จงก้าวเดินต่อไป และกลับมาจดจ่อที่การปฏิบัติต่อ “ความสัตย์ซื่อ” มากกว่า “ผลที่เกิดขึ้น” เพราะใต้เนื้อแท้ความสัตย์ซื่อของเรา คือการเฝ้าดูของพระเจ้าผู้ทรงความสัตย์ซื่อ และทรงจารึกผลของความสัตย์ซื่อนั้นให้เกิดในกาลเวลาอันควร

บางทีคนสัตย์ซื่ออาจไม่ได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความสัตย์ซื่อด้วยตนเอง เพราะฤดูแห่งการผลิดอกออกผลอันงดงาม อาจยาวนานเกินกว่าการรอคอยของช่วงชีวิตบนโลกนี้

แต่ที่แน่นอนคือพระเจ้าจะทรงตรัสกับคุณว่า
“Well done, good and faithful servant – เจ้าเป็นทาสที่ดีและสัตย์ซื่อ”

บทความ:  A Story of Eternal Perspective by Aggie Hurst (1986)
แปลและเรียบเรียง:  SC / JK